ALTIUS TOUR เป็นไม้ที่ออกแบบมาร่วมกับ Nozomi เพื่อเธอโดยเฉพาะ Nozomi เป็นผู้เลือกสีและร่วมกับทีมดีไซน์เอง สีขาวด้านแต้มด้วยลายเส้นสีทองที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นแห่งชัยชนะอันเต็มเปี่ยมที่สอดคล้องกับสโลแกนของไม้นี้ สลับกับตัวอักษรสีเงินที่บอกชื่อรุ่นและเทคโนโลยี ลายเส้นและตัวอักษรต่างๆ โดยรวมดูแล้วไม่รกหูรกตา เรียบแต่หรู ให้ความรู้สึกเบาสบาย
ลักษณะเฟรมเป็น aero box frame ที่โค้งมนกว่า Caliber มาก (Caliber เฟรมจะแบนๆเป็นกล่องสี่เหลี่ยมค่อนข้างชัด) ตรงฐานเฟรมเป็นสันคล้ายเฟรมตัดอากาศ ซึ่งทำให้เฟรมรุ่นนี้ลดแรงเสียดอากาศได้มากทีเดียว T-joint เด่นสะดุดตามีความใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆ ซึ่งนี่แหละคือ ของเด็ดของไม้นี้
น้ำหนักเมื่อได้ลองจับดู รู้สึกหนักกว่าไม้ 4U หลายๆไม้ อาจเป็นเพราะ T-joint ที่ใหญ่กว่าชาวบ้าน
คุณลักษณะ
ไม้ก้านกลาง ขนาดก้านน่าจะประมาณ 7mm
บาลานกลาง วัดเองได้ 295mm (รวมขึ้นเอ็น MZ66 และ overgrip ทับของเดิมแล้ว)
ความตึงขอเอ็นที่แนะนำ 23-27 ปอนด์
วัสดุที่ใช้ทำเฟรม High Elastic Graphite + Graphite (Solid Carbon Concept), RF Carbon และ HG Resin คาดเดาว่าความแข็งของกราไฟท์น่าจะไม่ต่ำกว่า T46 ซึ่งเป็นเกรดที่สูงสุดที่ทาง Mizuno ใช้กับ Pro Series ทุกรุ่น
เทคโนโลยี
Altius ถือว่าเป็นรุ่นที่สืบทอดมาจากตระกูล Caliber โดยยังใช้เทคโนโลยีที่เด่นๆของ Caliber อยู่ แต่ปรับปรุงขึ้นได้แก่
- Cross Flexible Frame ช่วยให้เฟรมไม่บิดง่าย
- Impact Navigation (I-Navi) ซึ่งเพิ่มความแข่งแกร่งบริเวณ T-joint เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับหน้าไม้ และดูดซับแรงกระแทกจากการตีและรับลูกตบแรงๆ
เทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาใหม่ คือ
- Aerogroove ร่องอากาศบริเวณส่วนร่างของเฟรม จะเห็นว่าตรงฐานเฟรมมีการเซาะร่องลงไปเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพในขณะเหวี่ยงไม้และตีลูก เฟรมจะนิ่งมาก
- Quad-booster ที่บริเวณสี่มุมของไม้ ที่ 2 นาฬิกา 10 นาฬิกา 5 นาฬิกา และ 8 นาฬิกา เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่บริเวณดังกล่าว ซึ่งเดิมเป็นบริเวณที่มักยืดหยุ่นเวลาตี จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการเหวี่ยงไม้และขณะตีลูก และยังลดแรงสั้นสะเทือนในไม้ได้เพิ่มขึ้นด้วย (Caliber ใช้เพียงแค่ 3 จุด)
ลงสนาม (3 ครั้ง 5 ชั่วโมง)
ใช้ไม้ 4U เอ็น MZ66 ที่ 25 ปอนด์
ความรู้สึกเหมือนตีไม้ก้านแข็งอยู่ ก้านอาจจะไม่ได้แข็ง แต่ตรงข้อที่ใหญ่และแข็ง ยืดหยุ่นน้อยทำให้รู้สึกแบบนั้น แต่ไม่ได้แข็งมาก น่าอยู่ระหว่าง duora 10 กับ z-strike ถ้าเทียบกับ Victor ก็แข็งกว่า Tk Falcon กับ JS12 เล็กน้อย ถ้าเทียบกับของค่าย เองก็อยู่ระหว่าง JPX LTD/ JPX 8.5 กับ Prototype X-1, Technix 1.2, JPX 8.1 Speedflex ไม่ต้องพูดถึงเพราะอยู่ในสายก้านอ่อน
หัวไม้ไม่หนัก เป็นไม้บาลานจริงๆ จะหนักกว่า Prototype X-1 นิดเดียว แต่เบากว่า Duora 10
- Clear: forehand ทำได้ดีทีเดียว ถึงหลังไม่ยาก แต่ backhand กลางๆ เพราะความแข็งของมัน
- Smash: ถึงจะเป็นไม้บาลานซ์ แต่รับรู้ได้ถึงพลังที่ปล่อยออกไปพอตัว อาจเป็นเพราะอานิสสงของ box frame และ T-joint ที่หนาและหนัก ช่วยเพิ่มพลัง ความจิกของลูก ใส่ข้อมือหน่อย จิกไม่แพ้ใคร รับตบ รีเทิร์นง่าย ไม่สะท้านมือสมเป็นไม้ตัวท๊อป
- ตัดหยอด: น้ำหนักดีกว่าไม้ 4U ตัวอื่นๆ และแม้กระทั้ง 3U บางตัว คุมง่าย แทบไม่ติดเน็ท เพราะอานิสสงของT-joint ที่หนาและหนักอีกเช่นกัน
- หน้าเน็ท: ไม่อืด คล่องตัวดี ถึงจะไปปรี๊ดปร๊าดไวปานลมเหมือน Prototype X-1 ก็ตาม
- เสียง: กับเอ็น MZ66 เสียงไปในทางแหลมคล้ายๆ bg 68ti แต่ไม่แหลมเท่า และดังพอควร ส่วนตัวแล้วเป็นเสียงที่ไพเราะและดุดันดี
สรุปแล้ว เทคโนโลยีชนิดต่างๆทั้งที่พัฒนาขึ้นและใส่เข้าไปใหม่ เน้นให้เฟรมมีความมั่นคงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นตอนเหวี่ยงไม้และตอนลูกตีกับไม้ เฟรมจะบิดตัวและ โค้งเอนไปด้านหลังเวลาปะทะลูกน้อยลงมาก ทำให้เจ้าตัวนี้สามารถถ่ายทอดพลังจากแรงของเราไปได้อย่างเต็มที่ และวางลูกได้แม่นยำขึ้น โดยไม่สะท้านมือแต่อย่างใด
เหมาะกับใคร (ถ้าไม่นับเรื่องเงินนะครับ): สาย Control, all around เล่นหน้าก็ได้ หลังก็ได้ เพราะไม้มีพลังพอตัว ถ้า 3U ก็น่ากลัวอยู่ และผู้ชื่นชอบไม้ก้านแข็งหน่อยๆ
สายหัวหนักสายโหดอาจจะไม่โดน เพราะ เป็นไม้บาลานซ์ ตบอาจจะไม่กระจาย ไม่หายเหมือนตัวโหดของหลายๆค่าย สีขาวเกือบโพลนอาจไม่โดนสำหรับหลายๆท่าน สีขาวก็ต้องดูแลรักษากันเป็นพิเศษหน่อย ไม่งั้นริ้วรอยต่างสีจะถามหาเอาครับ
ขอขอบคุณ
- Mizuno Singapore ที่กรุณาให้ไม้มาทดสอบ
- Website Mizuno Japan และ Mizuno Asia สำหรับข้อมูลและรูปภาพ