ThaiBadminton
หน้าแรก สนามแบด เวบบอร์ด รีวิวไม้แบด รวมลิงก์ ช่วยเหลือ ติดต่อ เข้าระบบ สมัครสมาชิก

โปรดอ่าน
การปิดกระทู้
กฎการใช้ ลายเซ็นต์ ในเว็บ
กฎการใช้งานเว็บบอร์ด กรุณาอ่านให้เข้าใจก่อนโพสต์




/  หน้าแรกเวบบอร์ด
   /  พบหมอข้างคอร์ท
/  ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน
ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน                 


 
Kimamon

ปาปารัสชีประจำเว็บ
เขียนเมื่อ:  6/2/2004 16:06:00
  ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 2398
เลขที่สมาชิก: 11
สมัครเมื่อ: 24/10/2003

มีพูดถึงเรื่องการเป็นตะคริวด้วยนะพี่ริ่ง หุหุ ลองไปอ่านดูละกัน

คิม







ภัยร้ายมันฝรั่งทอด
 
มันฝรั่งทอด คุกกี้กรอบๆ หรือขนมสำเร็จรูปในถุงสวยๆ ทั้งหลาย
ไม่ได้ทำให้อ้วนหากออกกำลังกายสม่ำเสมอ
และควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน
แต่อาหารเหล่านี้เต็มไปด้วยไขมันชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งมากขึ้น...
 
ที่มา : Are You Getting Enough Fat?"
By Colleen Pierre, R.D. Reader's Digest, 2001


 


ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
 
ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้
นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน
เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...
 
ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001


 


ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง
 
คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ
จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม
ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50%
แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก(bone mass) ของคุณ...


ที่มา : Rethinking Drinking" Reader's Digest, December 2001


 


นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด
 
นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย..


ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
(ข้อมูลจาก
http://www.thaihealth.or.th/th/index_th.php )


 


ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ
 
ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen)
ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน
ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้
ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก
แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม
จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก
จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ


 


ถั่วงอกดิบมีโทษครับ
 
ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก
มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ
ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม
จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ


 


วิธีป้องกันตะคริว
 
ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ
จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...
 
ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News,August 22, 2001


 


อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน
 
ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
จะใช้อินซูลินได้น้อยลง
คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...
 
ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001


 


ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง
 
ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน
แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...
 
ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001


 


เนยแท้ vs เนยเทียม
 
เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป
ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...


 


วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ
 
เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง
แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย"
ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ"
เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
 
๑.ต้องไม่อยากแก่..
ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
 
๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..
คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ
หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี
 
๓.ลดความเครียด..
เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ
 
๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี
 
๕.กินอาหารต้านชรา..
พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย
เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
 
๖.นอนหลับเพียงพอ..
เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย
ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด
 
๗.ความรัก..
ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน


 


ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
 
อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ
ของราชพฤกษ์โพล
คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท
จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน
ในพื้นที่17 เขตของกรุงเทพมหานคร
พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก
โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ
โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป
ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย
อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้


10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง
ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้
 
1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโต
2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้ม
3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวก
4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่
5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์ รสหัวหอมทรงเครื่อง
6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ


 


โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
 
น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด
เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ
ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ
จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย
และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย
ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ


 


อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน
 
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก
เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย
กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
 
2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก
เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ
เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
 
3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง
เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ
 
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
 
5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่


 


ผลกระทบของการอดนอน
 
งานวิจัยเชิงทดลอง โดยอาสาสมัครหนุ่มสาว
ทดลองนอนหลับวันละ 4 ชม. เป็นเวลา 6 คืน เมื่อเจาะตัวอย่างเลือด
พบว่า มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและควบคุมยาก
ซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน
นักวิจัยยังพบว่าการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต
ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพ
และควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย
การอดนอนทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งน้อยลง
ร่ายกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน
ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาท
ว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด
ตามความต้องการอาหารของร่างกาย
เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย
ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม
การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาว
และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย
ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค
การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่งฮอร์โมนแปรปรวน
เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน
ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว
เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย


 


6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
 
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย
เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน
และหัวใจวายแน่นอน
อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ
ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
 
1.มะเขือต่างๆ..
2.หอมหัวใหญ่..
3.กระเทียม
4.ถั่วเหลือง..
5. แอปเปิล..
6.โยเกิร์ต
 
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.


 


อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง
 
คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป
อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น
ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน
อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง
มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ
 
กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย
ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น
ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง
การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง
 
กระเทียม.. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด
โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง
 
ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง
จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ


นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง
จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
 
นมและนมถั่วเหลือง.. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน
แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร
มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย
 
เหล้า.. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
 
น้ำตาลหรืออาหารหวาน... ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน
หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง
จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
 
ชา...ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย
ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน
ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ
มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
 
ลูกพลับ.. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง
เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง
และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก
คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร


 


ไอศกรีม อาหารขยะ
 
ไอศกรีมบางยี่ห้อ บางผู้ผลิต ใช้ไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์ แทน
และได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ จากสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
 
1. ไดอิธิลกลูคอล ( diethyl glucol )..สารเคมีราคาถูก ใช้ตีไขมัน
ให้กระจาย แทนการใช้ ่ไข่ เป็นสารกันเยือกแข็ง ที่ใช้กันน้ำแข็ง
( anti freeze) และผสมในน้ำยากัดสี
 
2. อัลดีไฮด์ - ซี71 ( aldehyde-C71 ).. ใช้สร้างกลิ่น เชอร์รี่
ให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน พลาสติกและยาง
 
3. ไปเปอร์โอรัล ( piperoral )..ใช้แทนวานิลลา
เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเหาและหมัด
 
4. อิธิลอะซีเตท (ethyl acetate ).. ใช้สร้างกลิ่นรสสับปะรด
ใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้
ทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจผิดปกติ
 
5. บิวธีรัลดีไฮด์ ( butyraldehyde) ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผล
ไม้เปลือกแข็ง เป็นสารประกอบสำคัญในกาวยาง
 
6. แอนนิล อะซีเตท( anyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นรสกล้วยหอม
เป็นสารทำลายใช้ล้างไขมัน
 
7. เบนซิล อะซีเตท(benzyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่
เป็นสารละลายไนเตรท


เวลาเกิดความอยากอยากให้คิดถึงสารเคมีเหล่านี้
ทั้งสารกันเยือกแข็ง ตัวทำละลายน้ำมัน น้ำยาลอกสี ยาฆ่าเหา ยาฆ่าหมัด
บางยี่ห้อมีตัวนั้น บ้างมี ตัวนี้ ไมใช ่ว่าทุกยี่ห้อ จะมีหมด ทุกตัว
นะครับ
 
นอกจากนี้สารที่ใช้ทำความหวานก็คือ แซคคาริน หรือน้ำตาลเทียม
ทั้งมีสารเติมสีเติมกลิ่น ซึ่งเหล่านี้ล้วนพิสูจน์แล้วว่า
มีส่วนสนับสนุนทำให้เกิดมะเร็งได้
ไอศกรีม อาหารขยะ เป็นสาเหตุโรคอาหารเป็นพิษ ถึง 98 เปอร์เซ็นต์
อย่าลืมนะครับ จะซื้ออะไรดูสักนิดเช่น
น้ำมันพืช.. มีสารกันหืน BTH หรือเปล่า
ซีอิ้ว น้ำปลา แมกกี้มี สารกัน บูด (โซเดียมเบนโซเอท) หรือผงชูรส
(โมโนโซเดียมกลูตาเมท) หรือไม่
ขนมปัง.. ขาวมีสารกันเสีย สารกันบูดไหม
หรืออาหารใดๆ.. ก็แล้วแต่ แวะอ่านดูฉลากสักนิด ว่า มีผงชูรส มีวัตถุกันเสีย
เจือสีสังเคราะห์ แต่งกลิ่น แต่งรส หรือเปล่า แม้ อย.อนุญาตก็ตามเถอะ
 
ที่มา :http://www.rapidreply.net/cgi-bin/varpro/vartrack.cgi?t=mysuccess:23


 


เลือดแต่ละกรุ๊ปกับการเลือกทานอาหาร..
 
กรุ๊ป A. คนที่เลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ
ควรลดหรือละเว้น นม.เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A
ควรหันมารับประทานกันเพิ่มขึ้นก็คือ พวกผักใบ เขียว ใบเหลือง
รวมทั้งธัญพืช และถั่วต่างๆ
 
กรุ๊ป B.. พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือ
กำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ การดื่มนม
และรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้
จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A
นอกจากนี้ อาหารพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์
ต่อร่างกายทั้งนั้นแต่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ เนื้อไก่
 
กรุ๊ป O.. ถือว่าเป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่า ได้
ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี
เมื่อกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เป็ด ไก่ และปลา (ยกเว้นหมู)
แล้วก็ออกกำลังกายหนักๆ เช่นเต้นเอโรบิค.
..คนที่มีเลือดกรุ๊ป O มีแนวโน้มที่ จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย
หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย
 
กรุ๊ป AB. มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา
คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีเพียงแค่ 2 % เท่านั้นเอง จะมีลักษณะคล้ายๆ
คนเลือดกรุ๊ป B คือ รับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้
แต่ก็มีจุดอ่อน คือ ระบบย่อย อาหาร มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก
ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ ดังนั้นข้อ แนะนำก็คือ
ควรรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณที่น้อยและอย่าบ่อยนัก
อาจสังเกตุได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย



รอบเอวมรณะ
 
สิ่งที่พึงตระหนักคือ ผู้ชายไม่ควรให้รอบเอวเกิน 36 นิ้ว
หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้วถ้ามากกว่านี้ต้องเร่งลดน้ำหนัก
เพราะถ้าหากท่านวัดรอบเอวแล้ว
ได้ตัวเลขเกินกว่ามาตราฐานนี้ แสดงว่าท่านกำลังเป็นโรคอ้วน
คนเป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงที่จะต้องพบกับโรคร้ายต่างๆ มากมาย
นับตั้งแต่ โรคหัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงอัมพาต
และท่านอาจจะหยุดหายใจขณะหลับ
จนเกิดภาวะพร่องออกซิเจนตื่นนอนจะมีอาการมึน เป็นต้อหินง่าย
เนื่องจากเลือดขาดออกซิเจนเป็นโรคไขข้อ เพราะแบกรับน้ำหนักมาก
เป็นเกาต์ มะเร็ง นิ่วในถุงน้ำดี มีลูกยาก โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ
โรคถุงน้ำดี ท่านทราบหรือไม่ว่าคนอ้วน
จะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานมากกว่าคนน้ำหนักปกติถึง 30 เท่า
เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบกว่าคนทั่วไป 15 เท่า
โรคอัมพาต 11 เท่า โรคมะเร็งลำไส้ 2 เท่า
วิธีรักษาโรคอ้วนสามารถทำได้ด้วยการควบคุมแคลอรี
ของอาหารที่รับประทานคือพยายามให้ลดลงวันละ 600 แคลอรี
ซึ่งภายใน 7 วันจะสามารถลดน้ำหนักได้0.6 กิโลกรัม
เพราะไขมัน 1 กิโลกรัมเท่ากับ 7,000 แคลอรี
ประการที่สำคัญ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
อย่างน้อย 20 นาทีถ้าออกกำลังกายได้ 60 นาทีจะยิ่งเป็นผลดี



สุราอาจป้องกันโรค
 
วอชิงตัน ๑๖ พ.ค. - แพทย์สหรัฐ กล่าวว่า
การดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์วันละ ๒ แก้ว
อาจช่วยป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มผู้หญิงอายุมากได้
และดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเป็นสุราประเภทไหนก็ดื่มได้ดีทั้งนั้น
จากการศึกษาพบว่า
ผู้หญิงที่ควบคุมอาหารและดื่มสุราในปริมาณที่กำหนด
สามารถควบคุมระดับอินซูลินได้ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
แต่นักวิจัยย้ำว่า ต้องมีการศึกษากันต่อไป
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การดื่มเครื่องดื่มอะไรก็ตามสามารถช่วยได้ทั้งนั้น
ขอให้มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ใส่เหล้าก็ได้
ชาวอเมริกันราว ๑๕ ล้านคน ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒
ซึ่งจะส่งผลต่อการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
คนไข้โรคเบาหวานควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม
เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตัวแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่แล้ว
ไมเคิล เดวี่ส์ และเดวิด เบเออร์ ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์วิจัยด้านโภชนาการ
ของกระทรวงเกษตรสหรัฐ ทำการทดลองในผู้หญิง ๖๓ คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
และรายงานผลการศึกษาลงในวารสารสมาคมแพทย์ของสหรัฐ
พบว่า ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หากดื่มเหล้าวันละ ๒ แก้ว
จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ดื่ม หรือดื่มแต่น้ำส้มเพียงอย่างเดียว
ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้น
จะมีน้ำหนักตัวเท่าไรก็ตามการดื่มสุราเพียงวันละ ๓๐ กรัม
ช่วยลดระดับอินซูลินที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตามนักวิจัยเตือนว่า
การดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์มากกว่านี้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
และจะเป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย


 


อาหารเป็นยา
 
9 ยอดอาหารธรรมชาติที่ช่วยรักษาสุขภาพของท่าน
 
1. บร็อคโคลี่.
แชมเปี้ยนผักในตระกูลกะหล่ำที่เป็นที่นิยมของนักบริโภคทั่วโลก
บร็อคโคลี่มีประโยชน์ดังนี้
- ช่วยป้องกันมะเร็ง
- อุดมด้วยวิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ในร่างกาย
และยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรงอีกด้วยถ
- ประกอบด้วยสาร glutathione ซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไข ถ ข้ออักเสบ
เบาหวาน และโรคหัวใจ
และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล
และช่วยลดความดันโลหิตสูงถ
- ป้องกันการเกิดต้อกระจก เนื่องจากบร็อคโคลี่ จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูง
โดยเฉพาะสาร lutein
ขนาดรับประทาน : บร็อคโคลี่ 1/2 ถ้วย ต่อสัปดาห์
 
2. กระเทียม..ช่วยลดคลอเลสเตอรอล มีฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินในการช่วยป้องกัน
การแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกับ
ยาเพ็นนิซิลิน โดยเฉพาะเวลาที่เจ็บคอ สามารถใช้กระเทียมรักษา ได้ดี
และยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ถ
และมะเร็งเต้านม
ขนาดรับประทาน : การป้องกันโรคหัวใจรับประทานวันละ 1 กลีบ และโดย
ทั่วไปก็แนะนำให้รับประทานกระเทียมเป็นประจำทุกวัน แล้วแต่ปริมาณที่ชอบถ
 
3.ถั่วแดง เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้นจึง
ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดใน สมองแตก
และมะเร็งลำไส้ใหญ่
อุดมด้วยกรดโฟลิค ที่ช่วยบำรุง โลหิต ป้องกัน ความผิดปกติของทารกในครรภ์
นอกจากนี้ยังประกอบ ด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ polyphenolics
ที่ช่วยป้องกันการเกิด โรคหัวใจได้ดีอีกด้วย
ขนาดรับประทาน : ควรรับประทาน 1 ถ้วย / วัน
 
4. นมพร่องมันเนย .. เป็นแหล่งของแคลเซี่ยมสูงที่ปลอดไขมัน
ซึ่งป้องกันภาวะกระดูกพรุน ถ และยังประกอบด้วยสารโปรตัสเซี่ยมและแมกเนเซี่ยม
ที่ออกฤทธิ์ช่วย ลดความดันโลหิตสูง
ขนาดรับประทาน : คนวัยหนุ่มสาวต้องการแคลเซี่ยมวันละ 1000 mg
ส่วนวัยสูงอายุจะต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 1500 mg /วัน จึงจะเพียงพอ
ปัจจุบันมีนมพร่องมันเนยแคลเซี่ยมสูงจำหน่ายอยู่ทั่วไป เลือกดื่มได้ตาม
ปริมาณที่แนะนำ
 
5. ส้ม.. ยอดผลไม้ที่มีปริมาณวิตามิน ซี สูง เส้นใยอาหารสูง รวมทั้งสารอาหาร
ชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยป้องกันหวัด ลดระดับคลอเลสเตอรอล
ช่วยในการสร้างกระดูก ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ตลอดจนช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ
นอกจากนี้ สาร phytochemicals ในส้มยังช่วยต่อต้านมะเร็งเต้านมด้วยถ
ขนาดรับประทาน : ควรรับประทานส้มวันละ 1-2 ผล เป็นประจำทุกวัน
 
6. ปลาแซลมอน .. มีปริมาณน้ำมันปลาที่เรียกว่า Omega-3s ค่อนข้างสูง
ซึ่งช่วยป้องกัน โรคหัวใจ และช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบ
ช่วยลดอาการปวดรอบเดือน กลุ่มอาการก่อนมีรอบเดือน รวมทั้ง
ช่วยระงับอาการซึมเศร้าได้ด้วย
ขนาดรับประทาน : รับประทานสัปดาห์ละ 3 ออนซ์
 
7. เต้าหู้ ..หนึ่งในอาหารชั้นเลิศที่ควรเลือกรับประทานค่ะ ช่วยลดระดับไขมัน
คลอเลสเตอรอล อุดมด้วยสาร Isoflavone สารเอสโตรเจนธรรมชาติ
จากพืช ป้องกันกระดูกพรุน ป้องกันมะเร็งเต้านม และยังช่วยให้ไตทำงานได้ดีด้วย
ขนาดรับประทาน : 30-50 mg ของ Isoflavone / วัน หรือเท่ากับปริมาณ เต้าหู้ 1/2  ถ้วย/วัน
ซึ่งมี Isoflavone 35 mg.
 
8. ซอสมะเขือเทศ .. นอกจากจะสุดอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมาย เช่น
 
ป้องกันมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร สาร lycopene
ในมะเขือเทศเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ พบมากในเฉพาะมะเขือเทศ ถ เท่านั้น
ในผักผลไม้ชนิดอื่นจะมี lycopene น้อยค่ะ สาร lycopene
มีคุณสมบัติกำจัดสารอนุมูลอิสระตัวอันตรายให้ออกไปจากร่างกาย
ช่วยป้องกันมะเร็ง
ช่วยให้ห่างไกลความ ร่วงโรยอีกด้วยถ
ขนาดรับประทาน : รับประทานได้ตามใจชอบเป็นประจำทุกวัน
 
9. น้ำ ..ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ จึงจำเป็นที่คุณควร ถ
จะดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำคือยาอันมหัศจรรย์
หาก ดื่มน้ำได้เพียงพอ จะช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย ตะคริว รักษา
ระดับอุณหภูมิของร่างกาย ป้องกันการเกิดนิ่ว
และยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
ฉะนั้ควรจะดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
และถ้าสามารถดื่มได้มากกว่านี้ก็นับว่าเป็นกำไรของท่าน


เผยแพร่โดย www.budpage.com


 


เป็นภูมิแพ้ไม่ควรทานนมวัว
 
คุณหมอที่ร.พ. บี แคร์ ท่านบอกว่าคนที่เป็นโรคด้านภูมิแพ้
ไม่ควรทานนมจากแม่วัวหรือผลิตภัณฑ์ที่ดัดแปลงจากนมวัว
ประสบการณ์รักษาโรคภูมิแพ้มามากกว่า 5 ปี
ท่านแนะนำคนไข้ให้ทานนมจากถั่วเหลืองเท่านั้น
คนที่ตั้งท้องหรือ คลอดลูกใหม่ๆ ไม่ควรนำนมวัวไปฝาก
โดยเฉพาะที่เห็นในทีวี
คุณแม่ตั้งท้อง
แล้วดื่มนมพร่องมันเนยยี่ห้อหนึ่ง " ดีที่สุดสำหรับคุณแม่"
ท่านบอกว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
นมจากแม่วัว จะเป็น factor
นึ่งที่จะกระตุ้นให้ท่านเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น
จากประสบการณ์ที่ได้เห็นจริง พบว่าเด็กที่ทานนมถั่วเหลือง จะสูงมาก และ
มีพัฒนาการที่เร็ว
คนรุ่นใหม่จึงนิยมหัน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพและคลายความหิวไปช่วงหนึ่ง
ที่เมืองไทยในรอบ 20 ปีที่ผ่านมานี้
ได้มีการรณรงค์ให้ดื่มนมวันละ 2 แก้ว
เพื่อสุขภาพและโดยเฉพาะในเด็กเติบโตเพื่อนำแคลเซียมในนมไปใช้ในการสร้างกร ะดูก
เราทุกคนก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอด แต่ถ้าในวันนี้มีใครสักคนเดินเข้ามาบอกคุณว่า
นมที่คุณดื่มอยู่นั้นเป็นตัวการอย่างดีในการก่อให้เกิดมะเร็งล่ะ
คุณจะทำอย่างไร
จริงอยู่ที่ในนมนั้นมีสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นโปรดีน แคลเซียม
ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินA B1 B2 ไนอาซีน
แต่คุณรู้ไหมปริมาณสารอาหารเหล่านั้นไม่ได้มีมากดังที่คุณคิดเลย
อย่างในนมนั้นก็มีแคลเซียมเพียง118 มก. (ต่อ 100 กรัม)
ในขณะที่กุ้งแห้งเพียงหนึ่งช้อนชานั้น ให้แคลเซียมถึง 345 มก.
และนอกจากนี้โปรดีนในนมนั้นยังเป็นโปรดีนที่ย่อยยาก และกรดไขมันอิ่มตัวสูง
ร่างกายนั้นไม่สามารถย่อยได้หมด
เมื่อตกมาถึงลำไส้เล็กตอนบนมันก็จะบูดเน่าขึ้น
ซึ่งมันจะไปสะสมอยู่ในตับไตและลำไส้ใหญ่
เกิดสารพิษกลายเป็นสารก่ออนุมูลอิสระต้นตอของการเกิดมะเร็ง
นอกจากนี้ยังพบว่าการบริโภคนมนั้น
ยังส่งผลต่อต่อมและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์
เนื่องจากเป็นตัวการร้ายของการเกิดซีสต์ เนื้องอก
และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
และเจ้ากรดไขมันอิ่มตัวในนมนี้อาจจะไปสะสมในไต และถุงน้ำดี
ทำให้คุณเป็นนิ่วได้อีกด้วย
ปัญหาต่างที่เกิดจากนมที่พบได้บ่อยนั้นก็ยังมีการสะสมของไขมันในต่อมลูกหมาก
ตะคริวและท้องร่วง การแพ้ในรูปแบบต่างๆ
ทำให้เกิดโลหิตจางที่ขาดธาตุเหล็กในเด็ก เส้นเลือดแข็งตัว โรคหลอดเลือด หัวใจ
โรคไขข้อ และนมยังสามารถดักจับสารทาร์ในบุหรี่
ช่วยเร็งการเป็นมะเร็งในปอดอีกด้วย
 
ที่ร้ายที่สุดคือนมพร่องมันเนยนั้นมันกำลังกลายเป็นสิ่งเร้าให้คนที่ต้องควบคุม
ปริมาณไขมันในเส้นเลือด
เนื่องจากโรคไขมันในเส้นเลือดสูง และพวกเส้นเลือดหัวใจตีบตายได้ไม่รู้ตัว
เพราะเจ้าของผลิตภัณฑ์ลืมเขียนต่อท้ายว่านมพร่องมันเนยไปนิดเดียว
นี่ไม่ใช่เรื่องที่กุกันเล่นๆ เพื่อโจมตีบริษัทนมยี่ห้อใดๆ
แต่เป็นย้ำเตือนถึงการที่เรานำภูมิปัญญาของชาวตะวันตกมาใช้นั้น
ทำให้เราพึ่งละเลยสิ่งดีๆ ของไทยนั้นก่อผลเสียมากเพียงใด


ถ้าท่านยังไม่เชื่อเท่าใดก็ลองกลับไปดูสถิติของการเกิดมะเร็งดูสิว่ามันสูงขึ้นจ ริงหรือไม่
( อ้างอิงข้อมูลจากบทความคนไทย ไม่ต้องพึ่งนมวัว ของนพ.บรรจบ  ชุณหสวัสดิกุล )


 


วาซาบิป้องกันฟันผุ
 
วาซาบิ เครื่องปรุงรสสีเขียวมีกลิ่นฉุน นิยมรับประทานร่วมกับปลาดิบ
อาหารยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น มีคุณประโยชน์ทางยาหลายอย่าง
โตชิโอะ ลิยาม่า หัวหน้าทีมวิจัยวาซาบิ พบว่าวาซาบิ
สามารถต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในร่างกายมนุษย์
และยังกำจัดพยาธิชนิดที่เรียกว่า anisakis ที่อาศัยอยู่ในปลา
เมื่อมันผ่านเข้ามาในระบบย่อยอาหาร ที่สำคัญ ในวาซาบิมีสรรพคุณ
ในการป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยง
ต่อการเป็นโรคมะเร็ง ป้องกันโรคหอบหืด และผลวิจัยล่าสุดพบว่า
ช่วยป้องกันฟันผุได้ สารประกอบทางเคมีในวาซาบิที่เรียกว่าโอไซยาเนตส์
จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ตลอดจนการผลิตเอนไซม์
ในการก่อตัวของหินปูนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฟันผุ


 


วิตามินอี ..ดีต่อหัวใจ
 
บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า การกินอาหารอย่างถูกต้องนั้นต้องไม่กินไขมันเลย
นักโภชนาการบอกว่า
หากอยากให้ร่างกายได้รับวิตามินอีในปริมาณที่แพทย์แนะนำ
แต่ต้องแน่ใจว่าเป็นไขมันชนิดที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ใช้น้ำมันมะกอก
หรือน้ำมันพืชคาโนล่า ที่มีปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวสูง บางแห่งเรียกน้ำมันเรป
ใช้แทนน้ำสลัดข้น เมื่อกินสลัด การกินวิตามินอี ในระดับที่เพียงพอนั้น
จะช่วยป้องกันระบบความจำเสื่อม ป้องกันกล้ามเนื้อและหัวใจจากกาถูกทำลาย
เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง และใช้รักษาภาวะ
การมีบุตรยาก นอกจากนั้นนั้นช่วยรักษาแผลและลบเลือนแผลเป็น
อาหารแหล่งอาหรที่อุดมด้วยวิตามินอีพบได้ในจมูกข้าว น้ำมันพืช ผักใบเขียว
ผลไม้เปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวัน ถั่วอัลมอนด์ หรืออาจกินวิตามินอีเสริม
โดยเลือกกินวิตามินอีเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีปริมาณวิตามินอี 15 มิลลิกรัม
หรือวิตามินรวมหนึ่งเม็ดซึ่งมีวิตามิน บี 6 บี 12
และกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย


 


ไวตามินซีกับไข้หวัด
 
ไวตามินซี (ascrobic acid) เป็นสารที่มีตามธรรมชาติ
ถ้าหากขาดจะทำให้เกิดเลือดออกตามไรฟัน (scurvy)
ปัจจุบันพบได้น้อยแล้วเพราะได้วิตามินซีที่ผสมในอาหารสำเร็จรูป
และเครื่องดื่มหลายๆ ชนิด โดยไม่รู้ตัวเป็นจำนวนไม่น้อย
นักเภสัชวิทยาผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งพบว่า
การได้รับไวตามินซี วันละ 1-3 กรัมจะช่วยป้องกันไข้หวัดได้
แต่นักวิจัยท่านอื่นที่ทำวิจัยซ้ำกลับยังไม่พบผลดังกล่าว
จึงยังสรุปไม่ได้
แต่คนเราก็ต้องการไวตามินซีทุกวันเพื่อใช้ในการทำงาน
ตามปรกติผู้ใหญ่แต่ละคนต้องได้รับ 60 มิลลิกรัมต่อวัน
1000 มิลลิกรัมเท่ากับ 1 กรัม หากได้รับไวตามินซีในขนาดสูง
อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่น ท้องเดิน ปั่นป่วนท้อง
เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ กระดูกบาง น้ำตาลในเลือดสูง
รวมทั้งอาจทำให้ภูมิต้านทานเชื้อแบคทีเรียตกต่ำไปด้วย
หากต้องการไวตามินซีสูงเผื่อจะป้องกันหวัดได้บ้าง
ควรได้ไวตามินจากแหล่งธรรมชาติคือ พวกผักและผลไม้
เพราะมีโอกาสน้อยที่จะบริโภคไวตามินซีเกินขนาด
และมีประสิทธิภาพดีกว่าไวตามินซีสังเคราะห์


 


ดื่มน้ำส้มและโยเกิร์ต ป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
 
เมื่อไม่นานมานี้ American journal of clinical nutrition ค้นพบว่า
ผู้หญิงที่ดื่มนมโยเกิร์ตบ่อย และน้ำผลไม้อย่างน้อย 1 แก้วต่อวัน
มีโอกาสเกิดกระเพาะอักเสบน้อยกว่าคนอื่นถึง 34 % โดยเฉพาะจากน้ำลูกเบอรี่
เช่นเดียวกัน ถ้าได้ดื่มโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว
หรือแม้กระทั่งรับประทานชีส
อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ มีโอกาสเกิดปัสสาวะอักเสบลดลงถึงเกือบ 80 %
จากการวิจัยในหญิง 139 คนที่เคยมีปัสสาวะอักเสบและ 185 คนที่ไม่เคยเป็น
คนยุโรปที่ซื้อหาทานแคปซูลที่มียีสต์เช่นเดียวกับ
การทานโยเกิร์ตเชื่อว่ามันทำให้เพิ่มแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์
และลดแบคทีเรียตัวร้ายลงในทางเดินอาหาร และอุจจาระ
อันเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบสัมพันธ์กับการปนเปื้อนอุจจาระ
จึงทำให้อัตราการเกิดปัสสาวะอักเสบลดลงด้วยส่วนการที่น้ำผลไม้บางชนิด
เช่น Cranberries ช่วยลดอัตราการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้น
นักวิจัยเชื่อว่า เนื่องจากมันมี สารแอนตี้ออกซิเดนท์ (antioxidents)
ที่คอยทำลายเชื้อแบคทีเรีย
ดังนั้นคำแนะนำในผู้ที่เป็นปัสสาวะอักเสบนอกจากให้เลิกกลั้นปัสสาวะนานๆ
และทำความสะอาดให้ดียังแนะนำให้กินน้ำผลไม้และโยเกิร์ตเป็นประจำด้วย


 


ป้องกันโรคเกาต์
 
โรคนี้สาเหตุหลักเกิดจาก การรับทานอาหารจำพวกสัตว์ปีกเป็นประจำ
นอกจากนั้น อาจเกิดจากพันธุกรรม ความอ้วน ความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต ที่ทำให้ขับกรดยูริคได้ยาก
และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
โรคเกาต์เป็นโรคไขข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิด
จากการมีระดับกรดยูริค (Uric Acid) ในเลือดมากเกินไป
ซึ่งอัตราที่ปรกติระดับกรดยูริคในเลือดไม่ควรเกิน 7 mg/dL
ในอุณหภูมิร่างกายที่ปรกติ (37 องศาเซลเซียส)
หากกรดยูริคในร่างกายสูงมากกว่านั้น จะทำให้เกิดเป็นผลึกของกรดยูริคขึ้น
แต่อุณหภูมิบริเวณข้อจะประมาณ 29-32 องศาเซลเซีลส
ผู้ป่วยมักมีอาการปวด ตึง บริเวณข้อส่วนใหญ่มักจะเกิดที่ขาก่อน เช่น
ข้อนิ้วโป้งของเท้าและมักจะปวดตอนกลางคืนหรือเช้า ผู้ป่วยบางราย
อาจมีไข้ร่วมกับอาการบวมตามมา


 


หมากฝรั่งช่วยลดน้ำหนัก
 
James Levine และทีมงานวิจัย The Mayo Clinic ประเทศอังกฤษ
ได้คำนวณแคลอรีที่เสียไปขณะเคี้ยวหมากฝั่งนาน 1 ชั่วโมง
จะใช้พลังงานไป 11 แคลอรี่ ฟังดูอาจจะไม่มากนัก แต่ถ้าในระยะเวลา 1 ปี
ผู้ที่เคี้ยวหมากฝรั่งในชั่วโมงทำงานทุกวัน โดยไม่เปลี่ยนแปลง
จะใช้พลังงานซึ่งช่วยให้ลดน้ำหนักได้ถึง 11 ปอนด์
 

ข้อมูลส่วนตัว เยี่ยมชมเวบเพจ
 
หมอข้างคอร์ท

สมาชิกกิตติมศักดิ์
เขียนเมื่อ:  7/2/2004 16:34:00
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 79
เลขที่สมาชิก: 67
สมัครเมื่อ: 27/10/2003

 ขอบคุณคิมครับ ที่พยายามนำข้อมูลมาแชร์ แต่ ......


เหมือนเข้าทางผมนะ ผมชอบบ่นกะคนใกล้ตัวเสมอว่า ข้อมูลที่ได้มาจากเนตหรือการฟอร์เวิร์ดมาน่ะ บางครั้งอ่านแล้วต้องคิดตามก่อนเชื่อคงต้องยึด "กาลามสูตร" นะครับ^_^  และก่อนจะส่งให้ใครๆดูต่อไป


หลายๆข้อที่คุณคิมยกมา ผมอ่านแล้วแหม่งๆครับ เลยอด "คัน" ไม่ได้ x ต้องไปเสิร์ช และหาข้อมูลมาว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ???????

ข้อมูลส่วนตัว
 
หมอข้างคอร์ท

สมาชิกกิตติมศักดิ์
เขียนเมื่อ:  7/2/2004 17:06:55
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 79
เลขที่สมาชิก: 67
สมัครเมื่อ: 27/10/2003



ยกคำพูด:

เขียนโดย 陳炳欽:

ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
 
ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้
นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน
เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...
 
ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001


เนี่ยแหละครับ ข้อนี้แหละ ที่ทำให้ผม "คัน" มาก เพราะที่ร่ำเรียนมา ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดนั้นนำมาใช้ในสตรีวัยทอง เพื่อลดโรคกระดูกพรุน ... ความรู้ผมตกยุคไปแล้วหรือ


เลยไปเสิร์ชดูครับ ที่นี่ http://www.cmaj.ca/cgi/content/full/165/8/1023 


เป็นงานวิจัยในแคนาดาครับ ตีพิมพ์ใน Canadian Medical Association Journal, Vol 8 October 2001


ผมอ่านงานวิจัยนี้แล้ว สรุปให้อ่านกันสั้นๆนะครับว่า


งานวิจัยนี้ศึกษาผลของยาเม็ดคุมกำเนิดในสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน หลังจากศึกษาโดยการกรอกแบบสอบถามและวัดค่าความหนาแน่นของกระดูก พบว่าในกลุ่มสตรีซึ่งรับประทานยาคุมกำเนิอมีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน 0.02-0.04  กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ... โดยพบด้วยว่ากลุ่มที่ทานยาคุมกำเนิดมีการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทาน


อ่านแล้วคิดว่ายังไง ... ลองออกความเห็นกันหน่อยครับ วันจันทร์ผมจะมาคุยต่อ

ข้อมูลส่วนตัว
 
Sherlockoam

สมาชิกดีเด่น
เขียนเมื่อ:  7/2/2004 17:41:48
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 1217
เลขที่สมาชิก: 32
สมัครเมื่อ: 25/10/2003

ยาวจังอ่ะพี่คิม โดนอาหมอสวนเลย หุหุ

ข้อมูลส่วนตัว
 
หมอข้างคอร์ท

สมาชิกกิตติมศักดิ์
เขียนเมื่อ:  9/2/2004 14:42:10
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 79
เลขที่สมาชิก: 67
สมัครเมื่อ: 27/10/2003



 


ยกคำพูด:

เขียนโดย Sherlockoam:

ยาวจังอ่ะพี่คิม โดนอาหมอสวนเลย หุหุ



โอมเปลี่ยนชื่อเป็น "บ่าง" มายุให้คิมโกรธหมอซะแล่วววว :hammer:


มะได้สวนนะคร้าบบบ แค่มายกตัวอย่าง ... นิ .. โหน่ย อ้ะ x

ข้อมูลส่วนตัว
 
Kimamon

ปาปารัสชีประจำเว็บ
เขียนเมื่อ:  9/2/2004 16:19:59
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 2398
เลขที่สมาชิก: 11
สมัครเมื่อ: 24/10/2003

ดีแล้ว ดีแล้วคับ ถ้าอันไหนที่คุณหมอข้างคอร์ทรู้สึกว่าผิด ก็ท้วงติงมาได้เลยคับ คนอื่นเค้าจะได้เข้าใจกันได้ถูกต้องด้วย ^_^

คิม
ข้อมูลส่วนตัว เยี่ยมชมเวบเพจ
 
[email protected].

น้องรอง
เขียนเมื่อ:  10/2/2004 1:00:53
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 124
เลขที่สมาชิก: 227
สมัครเมื่อ: 7/12/2003

...ความรู้เต็มกระทู้เลยคับ ดีจังได้ความรู้เรื่องตีแบดแล้วยังได้เรื่องสุขภาพอีก:good:
ข้อมูลส่วนตัว
 
หมอข้างคอร์ท

สมาชิกกิตติมศักดิ์
เขียนเมื่อ:  10/2/2004 14:42:14
  Re: ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน



ข้อความ: 79
เลขที่สมาชิก: 67
สมัครเมื่อ: 27/10/2003





ยกคำพูด:

เขียนโดย หมอข้างคอร์ท:






เลยไปเสิร์ชดูครับ ที่นี่ http://www.cmaj.ca/cgi/content/full/165/8/1023 





เป็นงานวิจัยในแคนาดาครับ ตีพิมพ์ใน Canadian Medical Association Journal, Vol 8 October 2001





ผมอ่านงานวิจัยนี้แล้ว สรุปให้อ่านกันสั้นๆนะครับว่า





งานวิจัยนี้ศึกษาผลของยาเม็ดคุมกำเนิดในสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน หลังจากศึกษาโดยการกรอกแบบสอบถามและวัดค่าความหนาแน่นของกระดูก พบว่าในกลุ่มสตรีซึ่งรับประทานยาคุมกำเนิอมีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน 0.02-0.04  กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ... โดยพบด้วยว่ากลุ่มที่ทานยาคุมกำเนิดมีการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทาน





อ่านแล้วคิดว่ายังไง ... ลองออกความเห็นกันหน่อยครับ วันจันทร์ผมจะมาคุยต่อ





ผมจะเริ่มแจกแจงเป็นประเด็นๆไปนะครับ ...




1.ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกที่แตกต่างกัน 0.02-0.04 ต่อ ซีซี มันมีผลต่อความแข็งแรงของโครงสร้างกระดูกขนาดไหน?? อย่างไร ?? คิดเทียบกับมวลกระดูกปกติ ต่างกันกี่เปอร์เซนต์?




2.มีข้อมูลชัดเจนว่า กลุ่มที่ทานยามีการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์:pint:มากกว่า ซึ่งสองอย่างนี้มีผลต่อความหนาแน่นมวลเนื้อกระดูกด้วยครับ




ดังนั้น เมื่อมาดูข้อมูลที่ส่งต่อๆกันมา (ไม่เกี่ยวข้องกะคุณคิมนะครับ)




<quote>ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
 
ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้
นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน
เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...
 
ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001 </quote>




ผมว่าออกจะเร็วไปหน่อย ที่อ่านบทวิจัยยาวๆมาแต่สรุปรวบรัดอย่างที่เขียนในสองบรรทัดแรกจึงอาจไม่ถูกต้องนัก:roll:




แต่ข้อความในสามบรรทัดหลังถูกต้องครับไม่มีข้อโต้แย้ง :good:




ดังนั้นการได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างมา โดยเฉพาะที่เรายังไม่ทราบแหล่งที่มาหรืออ้างอิงของข้อมูลชัดเจน ควรตรึกตรอง และคิดตามก่อนจะเชื่อถือหรือนำไปใช้นะครับ



[ แก้ไขโดย หมอข้างคอร์ท เมื่อ 10/2/2004 14:56 ]

[ แก้ไขโดย หมอข้างคอร์ท เมื่อ 10/2/2004 15:00 ]
ข้อมูลส่วนตัว




ผู้ใช้งาน

ผู้ใช้งาน: 3 คนกำลังอ่านกระดานนี้
ขณะนี้มีสมาชิกออนไลน์ 3 คน [ แอดมิน ] [ ผู้ดูแล ]
3 ผู้มาเยือน
0 สมาชิก:

ค้นหา

กำหนดสิทธิ

คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความ
คุณ ไม่สามารถ เพิ่มแบบสอบถาม
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้
คุณ ไม่สามารถ ลบข้อความ
คุณ ไม่สามารถ โหวต